วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สิ่งที่ได้เรียนรู้จาการเรียนวิชาการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเรียนวิชา การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร

กิจกรรมต่างๆที่ดำเนินอยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางธุรกิจ อุตสาหกรรม การวางแผนงาน การเมือง สังคม และแวดวงการศึกษา ล้วนแล้วจำเป็นต้องมีเทคโนโลยี สารสนเทศเป็นหนึ่งในหลายๆ ตัวองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการดำเนินกิจกรรมให้มีความสำเร็จ และมีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับองค์กรอื่นได้
ในการเรียนวิชา การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับผู้บริหารนั้น ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเบื้องต้นที่มีความจำเป็นสำหรับเรา ไม่ใช่แค่เพียงแค่ความรู้ที่เราได้รับ แต่เป็นประสบการณ์ตรง และเทคนิคที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันของเรา เพื่อให้เรามีความพร้อมที่จะรับทุกสถานการณ์ที่เข้ามาหาเราอย่างรวดเร็วในโลกปัจจุบัน ซึ่งถ้าเรามีความพร้อมในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว จะทำให้เราสามารถตอบสนองต่อกิจกรรมต่างๆในโลกปัจจุบันได้อย่างรวดเร็วและทันสมัย ทั้งยังสามารถแข่งขันกับองค์กรอื่นได้อีกด้วย และจากความรู้ที่ได้เรียนรู้สามารถประมวลเป็นหัวข้อเรียนรู้ คือ
1. เทคโนโลยี สารสนเทศเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวของเรา และเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีสารสนเทศได้เลย
2. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือที่เราต้องบริหารจัดการให้เป็นส่วนหนึ่งกับการบริหารงานการศึกษา
3. การทำความรู้จัก และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ เข้าใจได้ ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินความสามารถ
4. การพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรให้มีความรู้ ความสามารถเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศถือเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานที่รวดเร็ว และทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมในโลกปัจจุบัน
5. นอกจากการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนา และแข่งขันแล้ว สิ่งที่ผู้บริหาร และทุกคนต้องคำนึงถึงควบคู่กันไปคือ คุณธรรม จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทางที่ถูกต้อง ไม่มุ่งทำลายผู้อื่นหรือสิ่งดีงามในสังคม

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผลการเรียนรู้สัปดาห์ที่2

สรุปผลการเรียนรู้สัปดาห์ที่ 2 ( 13 -14 มิถุนายน 2552 )
1. ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำ blog ของตนเอง ซึ่งเคยคิดว่าเป็นเรื่องที่ยาก และต้องใช้ความเก่งทางด้านเทคโนโลยีมากๆ แต่เมื่อได้มาเรียนวิธีการแล้วทำให้รู้ว่าไม่ยากอย่างที่เราเคยคิดไว้2. การค้นหาวิทยานิพนธ์ หรืองานวิจัยเกี่ยวกับนวัตกรรมทางการศึกษามีอยู่ค่อนข้างมาก สามารถใช้เป็นข้อมูล แนวคิดในการทำวิจัยของเราได้3.มีความรู้เกี่ยวกับการหาข้อมูลของมหาวิทยาลัยสวนดุสิตในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสืบค้นข้อมูล การค้นหาหนังสือ งานวิจัยผ่านทางอินเตอร์เน็ต

บทที่ 3 : การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อตอบสนองความต้องการภาครัฐและเอกชน
การใช้สารสนเทศมาใช้ในงานด้านต่างขององค์กร คือ1.สารสนเทศเพื่อการวางแผน สารสนเทศที่เน้นในเรื่องของอนาคต2.สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ ใช้สารสนเทศเพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนในการตัดสินใจที่ถูกต้อง แม่นยำมากขึ้น3.สารสนเทศเพื่อการดำเนินงาน นำสารสนเทศไปใช้ในระดับขั้นการปฏิบัติงาน เพื่อการควบคุมและติดตามผลการปฎิบติงานการใช้ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจสำหรับผู้บริหาร และสารสนเทศเพื่อการปฏิบัติงานของบุคลากรผู้ดำเนินงาน จำเป็นต้องมีสารสนเทศที่มีความเที่ยงตรง แม่นยำ ทันสมัย เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจ เพื่อให้เกิดความผืดพลาดน้อยที่สุดในองค์กรระบบสารสนเทศสำหรับองค์กร แบ่งเป็นระบบต่างๆ ได้ดังนี้1. ระบบประมวลผลรายการ ( TPS ) เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการประมวลผลข้อมูลรายการต่างๆ เพื่อให้ได้สารสนเทศมาใช้สนับสนุนการดำเนินงานประจำวันในองค์กร2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ( MIS ) เป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลขององค์กรเพื่อผลิตสารสนเทศตามความต้องการเพื่อใช้สนับสุนการดำเนินงานในทุกระดับ3.ระบบสารสนเทศสำนักงาน ( OIS )เป็นระบบการจัดสารสนเทศในสำนักงาน เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสำนักงานในหน่วยงานเดียวกัน4.ระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจ ( DSS ) สารสนเทศที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยผู้บริหารพิจารณาตัดสินใจเรื่องหนึ่งๆ โดยเพิ่มตัวแบบไว้ในระบบ5.ระบบสนับสนุนผู้บริหารระดับสูง ( ESS )สารสนเทศที่ออกแบบมาเพื่อผู้บริหารระดับสูงเพื่อใช้ในการตัดสินใจ

บทที่ 4 : เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม การเมืองและเทคโนโลยีสมัยใหม่สารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม ข้อดี1. การดำรงชีวิตมีความสะดวกสบายมากขึ้น 2. พฒนาระบบการทำงานให้สะดวก รวดเร็ว ถูกต้องและประหยัด 3. เกิดระบบการทำงานร่วมกันได้ในทุกที่ ทุกเวลา4. นำเทคโนโลยีมาส่งเสริมทางด้านสุขภาพ เช่นเทคโนโลยีการแพทย์ 5. พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้วยตนเองผ่านเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตข้อเสีย1.เกิดความขัดแย้งระหว้างแนวความคิดเก่ากับแนวความคิดใหม่ 2. มีการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 3. อัตราการจ้างงานลดลง เพราะใช้เทคโนโลยีแทนกำลังคน

สารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้มีการรับรู้ข่าวสารการเมืองที่รวดเร็ว มีแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย แต่ต้องใช้วิจารณญานในการพิจารณา หรือเลือกใช้สื่อในแต่ละช่องทาง เพราะอาจเป็นช่องทางของกลุ่มการเมืองใด การเมืองหนึ่งและอาจบิดเบือนข้อมูล เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน
การจัดการความรู้ ( KM ) คือ กระบวนการการใช้เทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรเพื่อกระตุ้นให้พนักงานทุกระดับได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ร่วมปฏิบัติเพื่อเกิดวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ภายในองค์กร
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการได้เปรียบในการแข่งขัน ได้แก่1. เพิ่มปริมาณการขาย 2.ลดต้นทุนการผลิต 3. การเพิ่มผลผลิต 4. การเพิ่มคุณภาพของสินค้าและบริการ 5. เพิ่้มศักยภาพในการแข่งขัน

ในยุคที่ข้อมูล สารสนเทศมีความหลากหลาย และมีด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ด้วยข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้เท่าทันเทคโนโลยีนั้นสำคัญยิ่ง เพราะถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี หรือระบบสารสนเทศที่ถูกต้องก็อาจจะใช้ประโยชน์จากสารสนเทศได้ไม่เต็มที่ หรืออาจทำให้เกิดผลเสียในการบริหาร หรือดำเนินงานได้ด้วยเช่นกัน

บทที่ 5 : ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับนวัตกรรมการศึกษานวัตกรรมการศึกษา หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษา และการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลาในการเรียน ซึ่งแบ่งประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษา ได้ 5 ประเภทคือ1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร 2. นวัตกรรมการเรียนการสอน 3. นวัตกรรมสื่อการสอน 4.นวัตกรรมการประเมินผล 5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ
แนวคิดพื้นฐานที่มำให่เกิดนวัตกรรมการศึกษา ได้แก่1.ความแตกต่างระหว่างบุคคล นักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งทางด้านสติปัญญา ภูมิหลังทางครอบครัว2.ความพร้อม ความพร้อมสามารถจัดเตรียมได้โดยอาศัยนวัตกรรมการศึกษา3.การใช้เวลาเพื่อการศึกษา ไม่จำเพาะจะต้องเรียนอยู่แต่ในชั้นเรียน หรือในระบบเท่านั้น4.ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม
หลักการของนวัตกรรมการศึกษา 5 ประการคือ1. นวัตกรรมเป็นเรื่องความคิด2.นวัตกรรมเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน3.ประสิทธิภาพของนวัตกรรมสามารถเพิ่มราคาได้4.ผู้บริหารสูงสุดต้องนำและมีความรับผิดชอบต่อนวัตกรรม5.ผู้บริหารสูงสุดต้องผูกผันและแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่น
การสร้างนวัตกรรมการศึกษามีกระบวนการสำคัญ 4 ขั้นตอนคือ1.สร้างความตระหนักถึงความจำเป็นของนวัตกรรม2.จุดประกายนวัตกรรม3.การสร้างนวัตกรรม4.การนำเอานวัตกรรมมาใช้

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นวัตกรรมทางการศึกษา

บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเชิงวิเคราะห์ และความคิดเห็นของผู้เรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียนจากมัลติมีเดียที่พัฒนาตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ เรื่อง Environment รายวิชาภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 15 คน โดยใช้รูปแบบการวิจัย One-Shot Case Study และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า
1.1 ผลของการคิดเชิงวิเคราะห์ พบว่า ผู้เรียนทุกคนที่เรียนจากมัลติมีเดียที่พัฒนาตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ มีคะแนนเฉลี่ยของการทำแบบวัดการคิดเชิงวิเคราะห์ มีคะแนนเฉลี่ย คือ 7.20 คิดเป็นร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 60 ในเชิงคุณภาพโดยการสำรวจความคิดเห็นและการสัมภาษณ์ ผู้เรียนมีความสามารถในการจำแนกแจกแจงความสามารถในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
1.2 ความคิดเห็นของผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นสอดคล้องกันทั้ง 4 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านเนื้อหา โดยผู้เรียนเห็นว่าเนื้อหาที่นำเสนอมีความชัดเจน ครอบคลุมและมีเพียงพอสำหรับนำมาประกอบในการแก้ปัญหา ภาษาที่ใช้ในการนำเสนอง่ายต่อการเข้าใจ เนื้อหาที่นำเสนอมีความทันสมัยและสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2) ด้านคุณลักษณะของมัลติมีเดีย โดยผู้เรียนเห็นว่า การออกแบบหน้าจอมีการใช้สีที่สวยงาม ดึงดูดความสนใจ การนำเข้าสู่บทเรียน สนุกสนาน ตื่นเต้น การใช้ตัวอักษรอ่านง่าย ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและเสียงที่ใช้ประกอบมีความเหมาะสม สอดคล้องกับเนื้อหา เสียงภาษาอังกฤษชัดเจน ฟังเข้าใจง่าย การออกแบบสัญลักษณ์ เช่น ปุ่มบอกทิศทางทำให้เข้าถึง และเชื่อมโยงไปสู่สารสนเทศต่างๆ และตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของนักเรียน 3) ด้านการออกแบบตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ โดยผู้เรียนเห็นว่าการเรียนรู้ผ่านสถานการณ์และปัญหาช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากค้นหาคำตอบ สามารถนำไปแก้ปัญหาได้ในสถานการณ์จริง ธนาคารข้อมูล ( Data Bank ) มีข้อมูลเพียงพอต่อการค้นคว้าและมีความหลากหลาย ฐานความช่วยเหลือ และผู้ฝึกสอนส่งเสริมให้นักเรียนเกิดแนวคิดในการแก้ปัญหา และแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนรู้และเลือกศึกษาค้นคว้าตามความสนใจ การโต้ตอบระหว่างผู้เรียนด้วยกันเองหรือผู้ฝึกสอน ช่วยส่งเสริมการขยายแนวคิดและกระตุ้นผู้เรียนในการเรียนรู้ 4) ด้านการส่งเสริมการคิดเชิงวิเคราะห์ โดยผู้เรียนเห็นว่า สถานการณ์ปัญหา ( Problem Based ) ภารกิจ ( Mission ) การนำเสนอข้อมูล ฐานความช่วยเหลือ ( Scaffolding) ธนาคารข้อมูล ( Data Bank ) ช่วยให้นักเรียนแก้ปัญหา และสามารถทำภารกิจได้ ช่วยให้นักเรียนจำแนกและจัดหมวดหมู่ของสิ่งแวดล้อม และสถานการณ์ปัญหาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของนักเรียนและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
1.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน พบว่า ผู้เรียนทุกคนที่เรียนจากมัลติมีเดียที่พัฒนาตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ มีคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบหลังเรียน 14.53 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 72.65 ของคะแนนเต็ม สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 60

ยุพิน คำภา.(2549). ผลของมัลติมีเดียที่พัฒนาตามแนวคอนสตัคติวิสต์ วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง Environment. รายงานการศึกษาอิสระปริญญาศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานครั้งนี้
1. วิธีการค้นหางานวิจัยทางอินเตอร์เน็ต สามารถหาได้อย่างรวดเร็ว มีความหลากหลายของเรื่องที่ทำการวิจัย ทำให้เราสามารถมีตัวอย่างเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนางานวิจัยของเราต่อไปได้
2. การเก็บข้อมูล หรือสืบค้นข้อมูลงานวิจัยที่มีคุณภาพ ทำให้เรามีตัวอย่างที่ถูกต้องในการทำวิจัย
3. การอ่าน วิเคราะห์งานวิจัยที่เรามีความรู้ หรือเรามีความเกี่ยวข้องทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้น เช่น งานวิจัยเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษ ครูผู้สอนมีความเข้าใจในบริบทได้มากกว่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอนภาษาอังกฤษ
4.จากบทคัดย่อที่อ่าน ทำให้ทราบว่ามีการใช้เทคนิคการสอนโดยใช้มัลติมีเดีย ที่พัฒนาตามแนวทางคอนสตรัคติวิสต์ ซึ่งไม่เคยได้ยิน หรือเห็นมาก่อน ทำให้มีความรู้ที่หลากหลายมากขึ้น
5. การใช้สื่อมัลติมีเดีย สามารถกระตุ้นความอยากรู้ เกิดการเรียนรู้ของนักเรียนได้เป็นอย่างดี และส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ผลการเรียนรู้ในสัปดาห์ที่ 1

3.ใหนักศึกษาตอบคำถามต่อไปนี้ในเนื้อหาของเมล์3.1 ความรู้ที่นักศึกษาได้รับจากการเรียนในครั้งนี้โดยสรุป จากการเรียนทำให้ได้ทราบถึงความจำเป็นของระบบสารสนเทศในโลกปัจจุบันว่าในทุกสถาบัน ทุกหน่วยงานล้วนแล้วจำเป็นต้องมีข้อมูลเพื่อใช้ในการวางแผน ตัดสินใจรวมถึงเพื่อการประเมินในด้านต่างๆ ดังนั้นระบบสารสนเทศที่ดี จึงสามารถสนองตอบต่อการใช้งานของบุคคล และหน่วยงานได้อย่างครบถ้วน หลากหลาย รวดเร็วและมีคุณภาพ และการรู้เท่าทันเทคโนโลยี และระบบสารสนเทศจึงเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องมี และเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ทันสมัย และทันต่อสภาวการณ์ของโลกที่เปลี้่ยนไปอย่างรวดเร็ว
3.2 ประโยชน์ที่มีของระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ( Internet ) ต่อกระบวนการการจัดการศึกษา ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลที่มีความหลากหลายมากที่สุด มีทั้งข้อมูลของภาครัฐ และภาคเอกชน เป็นระบบที่อำนวยความสะดวกสบายสำหรับผู้ที่ต้องการค้นหาข้อมูลในเรื่องต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วในส่วนของกระบวนการการจัดการศึกษา ระบบอินเตอร์เน็ตถือว่าสำคัญมาก เพราะในการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพจำเป็นต้องมีการติดต่อประสานงาน แลกเปลี่ยนเนื้อหา กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในด้านต่างๆ ดังนั้นการติดต่อที่รวดเร็วจึง
เป็นทางเลือกสำหรับสำหรับการจัดการศึกษา และยังเป็นแหล่งสืบค้นข้อมูลทางการศึกษาที่สำคัญทั้งสำหรับผู้บริหาร และบุคลากร
ทางการศึกษา
3.3เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการใช้โปรแกรมประยุกต์บนอินเตอร์เน็ตเมื่อเทียบกับการติดตั้งโปรแกรมใช้งานบนเครื่อง
คอมพิวเตอร์ส่วนตัว ข้อดี 1)โปรแกรมประยุกต์สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่มีความหลากหลายได้อย่างรวดเร็ว ตลอดเวลา 2)โปรแกรมประยุกต์บนอินเตอร์เน็ตสามารถปรับเปลี่ยนข้อมูล เนื้อหาได้อย่างรวดเร็วทันต่อเวลา 3)สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้หลายช่องทาง และหลายรูปแบบ และหลายหน่วยงานพร้อมๆกัน 4)สามารถสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่นได้ทั้งแบบอักษร และมัลติมีเดีย 5) ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อไปติดต่อกับบุคคล หรือหน่วยงาน โดยที่สามารถเชื่อมโยง ดาวน์โหลด
ข้อมูลที่ต้องการได้ทันที ข้อเสีย 1) ต้องมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก่อนการใช้งาน 2) อินเตอร์เน็ตอาจมีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณที่สามารถขัดข้อง ทำให้การเชื่อมโยงเกิดติดขัด หรือไม่ได้รับความ
สะดวกสบาย 3) อาจมีไวรัสคอมพิวเตอร์เข้ามาทำความเสียหายให้กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือไฟล์

ภาพประทับใจ





เที่ยงคืนกับบรรยากาศยามค่ำของกรุงเทพฯ ผ่านกระจกของ Drinks Bar บนชั้นที่ 83 ของตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ( ใบหยก ) กับเพื่อนๆที่ไม่ได้เจอกันบ่อยนัก..เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข และมิตรภาพเดิมๆ

ภาพประทับใจ


เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต สนุก เหนื่อย และสุดๆกับความเมื่อยและปวดขา..6 ชั่วโมงกับระยะทาง 9 กิโลเมตรสู่ยอดภูกระดึง กับตัวทากที่ทำให้เลือดเต็มถุงเท้าเตนท์นอนที่มีนำค้างหยดจนเปียกหลังไปหมด และที่สำคัญคือเพื่อนๆ ที่พร้อมจะลุยกันได้ทุกงาน...ครั้งเดียวก็พอแล้วสำหรับการปีนป่ายยอดภูกระดึง จำได้ตลอดชีวิตกับความเมื่อยที่ทำให้ขาสั่นทุกครั้งที่หยุดพัก..

แนะนำตน